ผมยังจำวันแรกที่เข้าฟิตเนสเซ็นเตอร์ได้ดี วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2532 แม้มันจะล่วงเลยเวลามาหลายสิบปี
ความคิดแรกที่เข้ามาในหัวตอนนั้น คือ "ทำไม แขนครูฝึก จึงใหญ่เท่า ขาของเรา (วะ)"
ตอนนั้น ความสูงของผมอยู่ตัวแล้วที่ 175 ซม. แต่น้ำหนักตัวอยู่ที่ 62 กก. ซึ่งก็ผอมมากสำหรับชายไทย แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรค หรือข้ออ้างที่จะไม่เดินหน้าต่อ จะพูดว่าไม่มีอะไรจะเสียก็ได้ครับ
โปรแกรมที่ครูฝึกจัดให้วันแรกก็เป็นการเล่นทั้งร่างกาย อก ไหล่ หลัง ขา แขน ฯลฯ อย่างละเซ็ต รวมทั้งหมดประมาณ 10 เซ็ต ซึ่งผมก็ปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ช่วงนั้นผมไปยิมแทบทุกวัน โปรแกรมเล่นเบื้องต้นไม่ได้หนักหนาสาหัสจนต้องมีวันหยุดพัก นึกย้อนหลังไป ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าต้องมีวันหยุดพัก
จากวัน เป็นสัปดาห์ จากการเล่นเบาๆ พอตึงๆ 12-15 เร็ป (ครั้ง) ต่อเซ็ต ก็เป็นการเล่นหนักขึ้นไปหมดแรงที่ 12 เร็ป แต่ก็เป็นการเล่น กล้ามเนื้อมัดละหนึ่งท่าๆ ละหนึ่งเซ็ต ตอนนั้นยังไม่รู้หรอกว่าเล่นกล้ามเนื้อหลักแล้ว จะได้กล้ามเนื้อรองด้วย (เช่น เล่นอกได้หลังแขนด้วย เล่นหลังได้หน้าแขนด้วย เป็นต้น)
มาวันหนึ่งก็ถามครูฝึกว่า "เล่นครบตามโปรแกรมแล้ว เอาไงต่อ" เขาก็ตอบว่า "ก็เล่นเหมือนเดิมอีกรอบหนึ่ง เป็นสองรอบ" ไม่ช้าไม่นาน จากการเล่นโปรแกรมฝึกวันละหนึ่งรอบ ก็กลายเป็น 3-4 รอบ แต่ละรอบก็ออกแรงกันสุดๆ ถึงจะเป็นโปรแกรม "เด็กๆ" ก็เถอะ
ทราบไหมครับว่า ภายใน 3 เดือน น้ำหนักตัวของผมเพิ่มขึ้นจาก 62 กก. เป็น 68.5 กก. ขณะที่ไขมันร่างกายเพียงเพิ่มขึ้นจาก 9% เป็น 10% เท่านั้น 12 เดือนนับแต่วันแรก น้ำหนักตัวขึ้นไปอยู่ที่ 74 กก. และไขมัน 9.5% คิดง่ายๆ น้ำหนักเพิ่มเดือนละหนึงกิโล
ยอมรับว่า ตั้งแต่วันแรกที่เล่นเวทนั้น ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรเท่าไร รู้แต่ว่า อยากหุ่นดีขึ้น อยากมีกล้ามเนื้อ อยากแข็งแรงขึ้น แต่ก็มีความมุมานะอุตสาหะอันแรงกล้า ผลักดันอยู่เบื้องหลัง อย่างเงียบๆ
การตั้งเป้าหมายบางอย่างในชีวิต มันกำหนดเป็นตัวเลขไม่ได้ครับ ไม่เหมือนการตั้งเป้ายอดขาย หรือกำไรของบริษัทโดยเฉพาะอย่างยิ่งเป้าหมายในการเล่นเวท ว่าจะอกใหญ่เท่านั้นเท่านี้ แขนใหญ่เท่านั้นเท่านี้ ตั้งไปแล้วไม่ได้ดังใจ เพราะมีตัวแปรหลายตัวมาก จะท้อถอยเปล่าๆ
ลองกลับไปอ่านบทความ ก่อนจะจับเหล็ก ดู
ถ้าจะมีเป้าหมายก็ควรเป็นส่วนที่เราควบคุมได้ครับ เช่น กิจวัตรที่จะเล่นเวทสัปดาห์ละไม่ต่ำกว่า 3 วัน, 4 วัน, 5 วัน (แล้วแต่คนนะครับ) และจะเล่นให้ได้ 110% หรือให้เกินร้อย
จากนั้นไม่ช้าไม่นาน ครูฝึกคงเห็นหน่วยก้าน เปลี่ยนโปรแกรมฝึกเป็น 2-day split program คือแบ่งร่างกายเป็นสองกลุ่ม เล่นกลุ่มละวัน และครบทั้งตัวใน 2 วัน
ผมก็ตอบสนองโปรแกรมใหม่ด้วยการทุ่มเทอย่างเต็มที่ ไม่เปลี่ยนแปลง
ต่อมาโปรแกรมฝีกก็พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่งเป็น 3-day split program คือแบ่งร่างกายเป็นสามกลุ่ม เล่นกลุ่มละวัน และครบทั้งตัวใน 3 วัน และหยุดพัก 1 วัน เล่นหนักขึ้น 8-10 เร็ปต่อเซ็ต บางเซ็ตท้ายๆ อาจเป็น 6-8 เร็ปด้วยซ้ำ
วันแรกเล่น ขา กับไหล่, วันทีสอง อก กับหน้าแขน และวันที่สาม หลัง กับหลังแขน ส่วนหน้าท้องนั้นเล่นได้ทุกวัน เพราะหน้าท้องจะไม่ีมีผล over-train หรือเล่นมากเกินไป
ร่างกายผมพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ ครับ บางช่วงเวลา แม้น้ำหนักตัวไม่เพิ่ม แต่คุณภาพของกล้ามเนื้อดีขึ้น ใหญ่ขึ้น ชัดขึ้น
จำได้ว่า peak สุดๆ หลังจากเล่นได้ไม่ถึง 10 ปี น้ำหนักตัวเฉียดๆ 90 กก. หรือ 200 ปอนด์ อยู่ระยะหนึ่ง แต่ไม่ถึงดี ยังไงก็รู้สึกว่าน้ำหนักตัวมากไป เลยค่อยๆ ลดลงมา
ทุกวันนี้ น้ำหนักทรงตัวอยู่ที่ 86-87 กก. ซึ่งก็พอดีๆ สบายตัวดี
ที่กำลังบอกก็คือ การเล่นเวทควรเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวัน ทุ่มเทให้มันขณะเล่น และหลังจากนั้น ก็อย่าไปจดจ่อ คิดมากเกินไป
ทำได้อย่างที่พูด ใหญ่แน่นอนครับ
เพื่อพิสูจน์ ผมได้แนบการ์ตประจำตัวที่ยิมมาให้ดูด้วย ไม่เคยเปิดเผยต่อสาธารณชนมาก่อน แต่ก็อยากจะบอกว่า ไม่ใช่เคสของคนทำไม่ได้พูด คนพูดไม่ได้ทำ แต่คนพูดเคยทำมาแล้วจริงๆ ครับ
ถ้าผมทำได้ คุณก็ทำได้ครับ